แนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่ และแน่นอนว่านำไปสู่ข้อถกเถียงได้ อาจบอกได้ว่า WEB 3.0 ในตอนนี้ถือเป็นเพียงระยะฟักไข่เท่านั้น เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของการเกิดขึ้นของ Internet ที่ถือเป็นยุค WEB 1.0 นั้นใช้เวลาหลายปีมาก กว่าจะมาถึงยุค WEB 2.0 ก็ใช้เวลามากกว่า 10-12 ปี เพราะฉะนั้นกว่าจะไปถึงยุค WEB 3.0 ที่เรากำลังเฝ้ารอนี้ ก็ย่อมใช้เวลาไม่ต่างกัน ก่อนที่ WEB 3.0 กำลังจะมา ไปทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่ามันคืออะไร แล้วจะมาเปลี่ยนแปลงการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเรา รวมไปถึงระบบเทคโนโลยีต่างๆมากน้อยแค่ไหน ไปดูกัน!
กว่าจะมาเป็น WEB 3.0 นี้ เราผ่านวิวัฒนาการมาเกือบหลายสิบปี ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Internet ครั้งแรก ไปจนถึงการสามารถสื่อสารกับผู้ใช้งานคนอื่นๆได้ เช่น Hi5, Facebook (1.0) , MSN จนมาถึงยุคที่เราเป็นเจ้าของข้อมูลได้ด้วยตัวเองแล้ว มาดูวิวัฒนาการตั้งแต่ยุคแรก….
WEB1.0 : จุดเริ่มต้นในการกระจายความรู้ (Volumn of Information)
ยุคแรกเริ่มของการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือที่เราเรียกว่า Web 1.0 เป็นการมาถึงของ World Wide Web ยุคนี้เกิดขึ้นมาในช่วงปี 1900 – 2000 เป็นยุคที่ผู้ใช้งานทุกคนสามารถสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวได้ อัพโหลด ดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆผ่าน Internet ได้ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานของ Internet อย่าง HTTP, HTML และ URL แต่ผู้ใช้งานจะไม่สามารถตอบโต้สื่อสารกับผู้สร้างเว็บได้อย่างอิสระ และคนที่สามารถแก้ไขหน้าตาเว็บไซต์ได้ก็จะมีแค่เจ้าของเว็บไซต์เท่านั้น (Webmaster) ยุค WEB 1.0 จึงมีรูปแบบเป็นยุคอินเทอร์เน็ตสื่อสารทางเดียว (One Way Communication) จึงทำหน้าที่เป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น (Static Content) เช่น เว็บไซต์ประกาศข่าว เว็บไซต์ประวัติส่วนตัว เว็บไซต์ประกาศรับสมัครงาน เว็บไซต์พยากรณ์อากาศ เป็นต้น
WEB 2.0 : ยุคที่ทุกคนมีเสียงเป็นของตัวเอง (Social Media)
เมื่ออินเทอร์เน็ตเริ่มพัฒนาขึ้นมากจาก WEB 1.0 ผู้สร้างเว็บฯ จึงพัฒนาคอนเทนต์ให้มากขึ้นและแก้ปัญหาการสื่อสารทางเดียวของ WEB 1.0 เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกับเจ้าของเว็บฯและผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้อย่างอิสระ เป็น Two Way Communication ทำให้คอนเทนต์ส่วนใหญ่นั้นเริ่มมาจากผู้ใช้งานมากขึ้น (User-Generated Content) และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Social Media ตามมา จนเราเรียกยุคสมัยนี้ว่า Social Web ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่ใช่คนที่บริโภคข้อมูลอย่างเดียวอีกแล้ว แต่สามารถเขียน อัพโหลดข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อความ ภาพ เสียง และวีดีโอได้ บอกได้ว่าในยุค WEB 2.0 นี้เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว และเป็นยุคที่มีแพลตฟอร์มที่เราขาดไม่ได้อย่าง Youtube, Twitter, Meta, Instagram
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี มองให้เป็นดาบ 2 คมก็ได้เช่นกัน เพราะในขณะที่การเติบโตของ Social Media มากขึ้น ข้อมูลก็มีมากขึ้นทำให้แพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถขายข้อมูลของผู้ใช้งานเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทและองค์กรใหญ่ๆได้เช่นกัน นำไปสู่ประเด็นเรื่องข้อมูลส่วนตัว , PDPA , Cyber Security อื่นๆตามมา จึงนำไปสู่ยุคต่อมาคือ WEB 3.0 ที่ต้องการพัฒนาและแก้ปัญหาเหล่านี้มากขึ้น
WEB 3.0 : อนาคตไร้พรมแดน ทุกคนเป็นทั้งผู้สร้างและผู้รับคุณค่าด้วยตัวเอง
จากการพัฒนาอย่างสุดขีดของ WEB 2.0 ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้งานให้มาใช้แพลตฟอร์มต่างๆอย่างมหาศาล ผู้ประกอบการหลายรายพากันทำธุรกิจผ่าน Social Media มากขึ้น ทั้งการโฆษณาและการขายสินค้าก็ทำผ่าน Social Media ทำให้ทุกๆกิจกรรมถูกสอดส่องและควบคุมโดยตัวกลาง ซึ่งก็คือ ผู้ควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ ทำให้ “อำนาจ” มีลักษณะรวมศูนย์มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเซนเซอร์ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เก็บข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต หรือการขึ้นค่าโฆษณาเมื่อผู้ใช้งานต้องการให้ถูกพบเห็นมากขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกฎที่ผู้ใช้งานจะต้องทำตาม เพื่อให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์มนั้นๆได้ต่อไป
ซึ่ง WEB 3.0 เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้มีการ “กระจายอำนาจ” และ “ไร้ศูนย์กลาง” มากขึ้น โดย Dr. Gavid Wood ผู้ก่อตั้ง Web 3.0 Foundation และอดีต CTO ของ Ethereum ได้กล่าวไว้ว่าอินเทอร์เน็ตในยุค Web 3.0 จะพัฒนาเข้าสู่การเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) เหมือนกับการใช้เทคโนโลยี Blockchain โดยต่างจาก Web 2.0 ที่เป็นแบบรวมศูนย์ (Centralized) ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้งานทุกคนสามารถควบคุมข้อมูลบนโลกดิจิทัล และทำให้เรากำหนดทิศทางของตนเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างแท้จริง
ลักษณะของ WEB 3.0 ที่น่าจะเกิดขึ้น
เนื่องจากการมาถึงของ WEB 3.0 นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต Tim Berners-Lee วิศวกรชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มคิดค้นวิธีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตครั้งแรก และเป็นคนที่ทำให้เกิดยุค WEB 1.0 ขึ้น ได้สรุปลักษณะของ WEB 3.0 ที่เขาคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ซึ่งมีบางส่วนที่เริ่มเป็นจริงแล้วในตอนนี้