ทั้งนี้ ChatGPT ใช้การแบ่งชั้นของ Data และหาคำตอบที่เหมาะสมแบบ 2 โมเดล นำมาจัดลำดับว่าข้อมูลชุดไหนมีคุณภาพมากกว่า ซึ่งทาง Open AI ก็ฝึกสอนให้ AI ของ ChatGpT สุ่มเลือกข้อมูลจากหลายๆ ตัวอย่างให้มีทางเลือกหลายๆ ทาง เป็นการฝึกและทำซ้ำๆ เพื่อให้ได้โมเดลคำตอบที่ดีที่สุด ถึงอย่างนั้น ในปัจจุบัน ทาง Open AI ก็ยอมรับว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังคงต้องได้รับการทดสอบและพัฒนาเพิ่มเติมอีก
จากเว็บไซต์ของ OpenAI บอกว่าแชทบอทตัวนี้มีการเรียนรู้โดยใช้วิธี Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) คือการฝึกอบรมให้ Chatbot รู้เกี่ยวกับบทสนทนา พัฒนาให้ระบบมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และมีการสร้างโมเดลผ่านข้อความด้วยวิธี Proximal Policy Optimization (PPO) และด้วยการเข้ามาใหม่ของโมเดลภาษารูปแบบใหม่ ในไม่ช้า เราก็คงมีอุปกรณ์แปลภาษาที่สามารถเข้ามา Take Over การเขียนบทความให้อ่านง่ายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อีกด้วย
หลายคนอาจรู้จัก Open AI ในอีกบทบาทหนึ่งคือผู้พัฒนา DALL-E ที่เป็น AI สร้างรูปภาพตามสั่ง ซึ่งมีชื่อเสียงพอๆ กับ Midjourney แต่ DALL-E จะต่างตรงที่สร้างรูปภาพแนวจริงหรือ realistic ต่างจาก Midjourney ที่สร้างงานแนวภาพวาด
สรุป
การเข้ามาของ ChatGPT ทำให้หลายอาชีพและหลายวงการต้องตั้งคำถามและคิดต่อว่า เราจะปรับตัวอย่างไรต่อไป เพราะมันก็มีแนวโน้มความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ AI ที่ได้รับการพัฒนาทักษะมากขึ้นจะทำงานและประมวลผลได้ดีกว่าและอาจเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานทักษะสูงได้
และหากลองเปรียบเทียบการพัฒนา AI ของปัจจุบันนี้กับในอดีต ที่เรื่องของ Machine, AI และ Data ยังอยู่ในวงแคบ มีแค่นักวิจัย โปรแกรมเมอร์และผู้พัฒนาซอฟแวร์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ปัจจุบัน คนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลและได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีในแทบทุกมิติ และคาดว่าในอนาคตก็อาจจะขยายขอบเขตไปได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น การค้นหาข้อมูลใน Google Search, การนำทางด้วย Maps, การแปลภาษา, การใช้ Social Media เราก็มีฟิลเตอร์จากอัลกอริทึมที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน หลายๆ อย่างเป็นอัตโนมัติมากขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะกำลังของคนอาจแก้ปัญหาได้ไม่เพียงพอเท่ากับ AI แล้ว นั่นจึงเป็นคำถามที่เราต้องคิดต่อว่าจะปรับตัวรองรับการมาถึงของ AI นี้อย่างไร