ต้องย้อนไปตั้งแต่ผู้ก่อตั้งอย่าง Thomas J. Watson ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นบิดาแห่งการให้กำเนิดคำว่า Corporate Culture หรือวัฒนธรรมองค์กร ในสมัยที่เขายังเป็นผู้บริหารอยู่นั้น เมื่อมีการประชุมเขาสังเกตว่าตัวเองใช้คำว่า Think บ่อยเหลือเกินและเขารู้สึกดีกับคำๆนี้มาก จึงได้เริ่มแนวทางที่อยากจะตกผลึกความเชื่อบางอย่างในองค์กรของตัวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนักงานใช้เป็นแนวทางประกอบการทำงาน การตัดสินใจ และเป็นหลักคิดพื้นฐานของ IBM สิ่งนั้นประกอบไปด้วย 2 คีย์เวิร์ดก็คือ Excellence และ Customer Service ไม่ได้ต้องการให้พนักงานทำงานดีเลิศเท่านั้นแต่เป้าหมายต้องดีเลิศด้วย และต้องกระตือรือร้นที่จะบริการลูกค้าให้ดีที่สุด สิ่งนี้ได้ปลูกฝังลงไปในตัวพนักงานทุกคนและส่งต่อมายาวนานกว่าร้อยปี คงไม่ใช่เป็นเพราะมีวัฒนธรรมที่ดีที่สุดแต่เป็นเพราะ IBM เอาจริงเอาจังกับมันมากที่สุด
3. Microsoft : “ถ้าเป้าหมายเดิมสำเร็จแล้ว ก็ตั้งเป้าหมายใหม่และทำให้สำเร็จด้วยกลยุทธ์ใหม่”
ในยุคแรกเริ่ม ถ้าถามว่าอะไรคือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Microsoft คำตอบอันมุ่งมั่นจาก CEO คนแรกอย่าง Bill Gates ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเคยบอกไว้ว่า เป้าหมายของ Microsoft คือ “a computer on every desk and in every home” และแน่นอนว่าทุกวันนี้ Microsoft ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์สำหรับมนุษยชาติเป็นที่เรียบร้อย แล้วอะไรคือเป้าหมายต่อไปหลังจากนี้?
Satya Nadella ตอบว่า เป้าหมายเดิมของ Microsoft ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยแห่งปัจจุบันแล้ว ถ้าอยากให้ Microsoft ยิ่งใหญ่และไปต่อได้มากกว่านี้ ก็จำเป็นต้องหาเป้าหมายใหม่ และก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ด้วยวัฒนธรรมใหม่ด้วย และนี่เองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ Microsoft หลังประกาศกร้าวไว้เช่นนั้น ผ่านไปประมาณ 5 เดือนครึ่ง Satya Nadella ได้ส่งอีเมลล์บอกพนักงานทุกคนในบริษัท ว่า “เหตุผลที่ Microsoft ดำรงอยู่ก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับทุกคนและทุกองค์กรบนโลกนี้ และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากกว่าที่เป็นอยู่” พูดง่ายๆก็คือ ต่อจากนี้ Microsoft จะไม่เป็นบริษัทที่มุ่งมั่นผลิตสินค้าเพื่อคนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นบริษัทที่สร้างคน (People Company) และ เพิ่มขีดความสามารถ (Empower) ให้กับผู้คนทั่วโลกและนี่คือการละทิ้งเป้าหมายเก่า วางเป้าหมายใหม่-ด้วยวัฒนธรรมใหม่ จาก “สินค้า” ไปสู่ “คน”
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ CEO คนนี้ไม่ธรรมดาก็คือ Mindset ของการเปลี่ยน ‘ศัตรู’ ให้เป็น ‘มิตร’ มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งระหว่างการประชุมใหญ่ต่อหน้าคนจำนวนมาก Satya Nadella ได้ล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบไอโฟนขึ้นมา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างชวนแปลกใจ เพราะอย่างที่ทุกท่านทราบดีว่า Apple ก็ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางเทคโนโลยีของ Microsoft เช่นกัน แต่มุมมองของ CEO ผู้นี้คิดว่า หากสามารถร่วมมือกับศัตรูได้อย่างถูกวิธี และหากบริษัทของตัวเองแข็งแกร่งมากพอ การร่วมมือกันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ มันยิ่งทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์มากขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งเขาก็ได้ตั้งชื่อไอโฟนเครื่องนั้นว่า ‘ไอโฟนโปร’ เพราะเป็นการใส่โปรแกรมและแอปพลิเคชันทั้งหมดของไมโครซอฟท์ลงไปเพื่อเสริมให้ทำงานได้เต็มศักยภาพมากขึ้น
และนี่คือมุมมองของ Satya Nadella CEO คนปัจจุบันของ Microsoft ที่ไม่เชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว และศัตรูก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่แข่งกันเสมอไป ร่วมมือกันบ้างก็ได้ หากบริษัทแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ชัดเจน ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ “ทุกๆคน”
4. Apple : “ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่อุปกรณ์ที่ดี แต่ซื้อไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์”
หากถามว่าตอนนี้อะไรคือบริษัทที่มีมูลค่าราคาหุ้นสูงที่สุดในโลก ก็คงจะเดาไม่ผิดว่าคือบริษัทที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องอย่าง Apple ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ Tim Cook ซึ่งเป็น CEO มา 10 ปีแล้ว แม้เขาจะไม่ได้เป็นไอคอนของ Apple ที่คิดค้นนวัตกรรมล้ำสมัยได้เท่าที่ Steve Jobs เคยทำ แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่มีสาวก Apple ต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อก็ล้วนมาจากการพัฒนาโดย Tim Cook จากที่ Steve Jobs คิดค้นขึ้นมา และก็มีเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาอย่าง นาฬิกาอัจฉริยะ Apple Watch และหูฟังไร้สาย Airpods ที่ถือเป็นนวัตกรรมของ Tim Cook อย่างแท้จริง ยอดสั่งซื้อถ่ลมทลายภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น
Tim Cook ได้ช่วยเพิ่มผลกำไรของ Apple มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดกับฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ และยังเปิดตัวบริการแบบ Subscription สำหรับแพลตฟอร์มสตริมมิ่งเพลงและวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็น Apple Music , ที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ไปจนถึงแพลตฟอร์มนิตยสารและอีบุ๊ก Apple News+ และแพลตฟอร์มสตริมมิ่ง Apple TV+ ที่ได้สร้างรายได้เพิ่มจากหลักพันล้านเป็นหมื่นล้านภายในเวลา 10 ปี