เวลาที่เราพัฒนาโปรเจกต์มาสักชิ้น อีกด้านหนึ่งที่สำคัญที่จะต้องมีการวัดผลก็คือเรื่องของ CI ซึ่งเป็นการวัดประสิทธิภาพของฝั่ง Developer โดยเรื่องแรกที่เราควรวัดคือเรื่องของ CI Duration ซึ่งเป็นการหาค่าเฉลี่ยดูว่าในการ Run CI แต่ละครั้งใช้เวลาโดยเฉลี่ยเท่าไหร่ หากใช้เวลานานไปอาจไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าในกรณีที่ช้านั้นสาเหตุเกิดขึ้นที่ขั้นตอนหรือส่วนการทำงานไหน แล้วค่อย ๆ แก้ไขต่อไป
6.Total CI Run Time / Total CI Run
เป็นเครื่องมือในส่วนของ CI Duration เพื่อพิจารณาจำนวนการ Run CI ต่อวัน ซึ่งจะช่วยบอกเราว่าการทำงานของเราติดปัญหาอยู่หรือไม่
7.CI Time to Recovery
เมื่อเราทำการ Build และ Test แล้วสิ่งต่อมาที่ควรมีการวัดผลก็คือ CI Time to Recovery ที่จะช่วยบอกเราถึงระยะเวลาที่ทีมใช้ในการจัดการสิ่งที่ต้องแก้ไขจากข้อผิดพลาด นอกจากหาข้อผิดพลาดแล้วก็สามารถวัดหาจุดดีของงานได้ด้วย CI Success Rate ซึ่งก็คือการวัดหาอัตราความสำเร็จในการ Run CI แต่ละครั้งว่าอยู่ที่เท่าไหร่
8.Successful CI Run / Total CI Run
ถ้าหากผลลัพธ์ของ CI Success Rate ออกมาต่ำ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีการทดสอบโค้ดน้อยเกินไป ให้มาดูการวัดผลจาก CI ต่อมา โดยเริ่มจาก Uptime หรือการดูว่าระบบของเราพร้อมใช้งานมากแค่ไหน มี Downtime มากน้อยเท่าไหร่ในแต่ละช่วงที่ทำการวัด ซึ่งเป็นค่าที่ไม่ควรปล่อยให้ลดลงเยอะ เพราะยิ่งมี Uptime น้อยก็หมายถึงทุกครั้งที่ระบบล่มเราก็มีโอกาสเสียลูกค้าหรือฐานผู้ใช้งานไปนั่นเอง
และสุดท้ายคือเรื่องของ Time Detection หรือการวัดเวลาที่ใช้ในการตรวจพบข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าเราเตรียมพร้อมรับมือมาดีแค่ไหนใน Process และการแก้ไขปัญหา ยิ่งเราใช้เวลานานแปลว่าจุดผิดพลาดนี้อยู่ในระบบนานและอาจมีผู้ใช้งานหลายคนต้องเจอกับจุดผิดพลาดนี้ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเสียฐานผู้ใช้งานมากขึ้น